อุตสาหกรรมเหล็กไทย ท่ามกลางสมรภูมิการค้าทรัมป์ 2.0

08 สิงหาคม 2568
อุตสาหกรรมเหล็กไทย ท่ามกลางสมรภูมิการค้าทรัมป์ 2.0

ในปี 2018 สหรัฐใช้มาตรการทางภาษีสำหรับการนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม ภายใต้กฎหมาย Section 232 of the Trade Expansion Act of 1962 ตามนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยแรกในขณะนั้น โดยกำหนดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าเหล็กที่ 25%

อย่างไรก็ตาม แคนาดาและเม็กซิโกประสบความสำเร็จในการเจรจาต่อรองเพื่อยกเว้นภาษีเหล็กดังกล่าว ส่วนเกาหลีใต้, บราซิล, อาร์เจนตินา, ญี่ปุ่น, สหภาพยุโรป และสหราชอาณาจักร แม้จะเจรจาต่อรองได้รับการยกเว้นภาษี 25% แต่ก็เป็นการยกเว้นแบบไม่สมบูรณ์ เนื่องจากมีการกำหนดปริมาณการนำเข้า หรือประเภทสินค้านำเข้าที่จะไม่เสียภาษีในอัตราดังกล่าว

ขณะที่ประเทศส่วนใหญ่รวมถึงไทย ถูกกำหนดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าเหล็กที่ 25%

นับตั้งแต่นั้นมา ความสามารถในการแข่งขันของเหล็กไทยในตลาดสหรัฐลดลง ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกสินค้าเหล็กของไทยไปยังสหรัฐในปี 2018-2024 หดตัวต่อเนื่องที่ 14.5% CAGR ยิ่งไปกว่านั้น ยังได้รับผลกระทบทางอ้อมจากเหล็กเกินโควตาที่ถูกระบายมายังไทย โดยเฉพาะจากจีน, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, มาเลเซีย และเวียดนาม ประกอบกับมีเหล็กจีนที่ถูกผลิตจนล้นตลาดตั้งแต่ช่วงที่เกิด COVID-19 ทะลักเข้ามาไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตเหล็กโดยรวมของไทยอยู่ในระดับต่ำกว่า 60%

โดยผลกระทบหนักที่สุดเกิดกับเหล็กแผ่นรีดร้อน ที่อัตราการใช้กำลังการผลิตเหลือเพียง 32% และบางช่วงอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 30% ลดลงจากค่าเฉลี่ยในช่วงก่อนปี 2018 ที่อยู่ที่ 50-60%

ในปี 2025 การเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ของ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศใช้กฎหมายภายใต้ Section 232 (Proclamation 10896) ซึ่งกำหนดให้จัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเหล็กที่ 25% ครอบคลุมจากทุกประเทศ โดยยุติข้อยกเว้นใด ๆ ที่เคยมีมาก่อนหน้า และประกาศเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าสินค้าเหล็กเป็น 50% โดยมีผลเป็นทางการเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2025 ที่ผ่านมา ซึ่งมีเพียงสหราชอาณาจักรเท่านั้น ที่ยังคงอัตราไว้ที่ 25%

ยิ่งไปกว่านั้น ยังพ่วงรายการสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีชิ้นส่วนที่ทำจากเหล็ก เช่น เครื่องซักผ้า, ตู้เย็น, เครื่องอบผ้า และเครื่องล้างจาน ที่ต้องคำนวณสัดส่วนมูลค่าสินค้าที่มีเหล็กเป็นส่วนประกอบเพื่อเสียภาษีในอัตรา 50% ด้วยเช่นกัน

SCB EIC ประเมินว่า ในรอบแรกที่มีการจัดเก็บภาษีนำเข้าเหล็กแบบถ้วนหน้าที่ 25% นั้น มีผลกระทบโดยตรงกับอุตสาหกรรมเหล็กของไทยจำกัด เนื่องจากเหล็กไทยถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตรานี้มาโดยตลอดตั้งแต่ปี 2018 แต่เหล็กไทยจะได้รับผลกระทบทางอ้อมจากการเป็นแหล่งระบายสินค้า โดยเฉพาะเหล็กจากประเทศที่เคยได้รับการยกเว้นอัตราภาษี อย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ที่มีแนวโน้มทะลักเข้ามายังไทยมากขึ้น

อีกทั้งมาตรการล่าสุดที่สหรัฐเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าเหล็กเป็น 50% จะซ้ำเติมอุตสาหกรรมเหล็กไทยมากขึ้น ทั้งทางตรงที่ต้องแบกรับต้นทุนภาษีที่เพิ่มขึ้น และทางอ้อมที่จะมีเหล็กจากต่างประเทศทะลักเข้ามาไทยมากขึ้น โดยคาดว่าหลังจากนี้ไทยจะมีการนำเข้าเหล็กจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นกว่า 15% ต่อปี

อุตสาหกรรมเหล็กของไทยจะดำเนินต่อไปอย่างไร ท่ามกลางสมรภูมิการค้าจากนโยบายภาษีของทรัมป์ 2.0

เหล็กไทยมีปัญหาเชิงโครงสร้างจากความจำเป็นที่ต้องนำเข้าวัตถุดิบ ทำให้มีต้นทุนการผลิตสูง และยังถูกซ้ำเติมจากนโยบายภาษีของทรัมป์ 2.0 ดังนั้นการใช้กลยุทธ์ทางด้านราคาจึงไม่ใช่ทางออก แต่ควรเป็นการลดต้นทุน การสร้างมูลค่าเพิ่ม และการมุ่งไปสู่ Green Steel โดยในส่วนของการลดต้นทุนอาจอยู่ในรูปแบบการสร้างความร่วมมือระหว่างผู้ผลิตเหล็ก เพื่อลดต้นทุนการผลิตต่อหน่วย ด้วยการสร้างคลัสเตอร์ผู้ประกอบการเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองในการสั่งซื้อวัตถุดิบ

สำหรับการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเหล็ก จำเป็นต้องพัฒนาไปสู่การผลิตสินค้าที่รองรับอุตสาหกรรมขั้นสูง เช่น ยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมการบินและอวกาศ ในส่วนของอุตสาหกรรมดั้งเดิม จำเป็นต้องสร้างความร่วมมือตลอด Supply Chain ร่วมกับคู่ค้าในอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น ภาคก่อสร้าง ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เพื่อยกระดับการพัฒนาสินค้าที่มีคุณภาพและมาตรฐาน รวมถึงสามารถตอบโจทย์ความต้องการใช้งานของลูกค้าแต่ละรายที่มีความต้องการแบบเฉพาะเจาะจง (Customization) อีกทั้งขยายตลาดไปสู่กลุ่มผู้บริโภคที่เป็นผู้ใช้งานขั้นสุดท้าย (End Users) มากขึ้น

นอกจากนี้ การผลิตเหล็กจำเป็นต้องลดการปล่อยมลพิษ หรือมุ่งไปสู่ Green Steel เพื่อผลักดันให้เหล็กไทยเข้าไปอยู่ใน Green Supply Chain ของโลก โดยเฉพาะการกำหนดเป้าหมายการลด Emission ของอุตสาหกรรม เพื่อนำมาสู่การดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมของผู้ประกอบการ เช่น การเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทน การปรับให้มีการใช้เทคโนโลยีหรือเทคนิคการผลิตที่ลด Emission ได้มากขึ้น

ในส่วนของภาครัฐจำเป็นต้องปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศ ผ่านการใช้มาตรการปกป้องและตอบโต้ทางการค้าอย่างเข้มงวด รวมทั้งจะต้องสนับสนุนให้เกิดการเพิ่มสัดส่วนการใช้งานเหล็กที่ผลิตในประเทศในโครงการก่อสร้างต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน อีกทั้งจำเป็นต้องลดข้อจำกัดด้านต้นทุนการผลิต เช่น การปรับลดค่าไฟฟ้าสำหรับผู้ประกอบการ ยกเว้นอัตราภาษีในการนำเข้าเหล็กต้นน้ำ/กลางน้ำที่เป็นวัตถุดิบการผลิตสินค้าเหล็กขั้นปลาย

เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมเหล็กไทยในระยะยาว ท่ามกลางความผันผวนของนโยบายการค้าระหว่างประเทศที่ยังคงดำเนินต่อไป

 


แหล่งที่มา : ประชาชาติธุรกิจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

The information in the above report, publication and website has been obtained from sources believed to be reliable. However, Iron & Steel Institute of Thailand does not guarantee the accuracy, adequacy or completeness of the information. Any opinions or forecasts regarding future events may differ from actual events or results. In addition, Iron & Steel Institute of Thailand reserves the right to make changes and corrections to the information, including any opinions or forecasts, at any time without notice.